อาทิตย์นี้เราไปเที่ยวที่สวนเกษตรพอเพียงของคุณลุงใจดี ยวง เขียวนิล ซึ่งได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ดินซึ่งเราไปกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วให้ไปเรียนรู้ต่อยอดกันที่นี่ สวนของคุณลุงนั้นเป็นไร่นาสวนผสม แบบเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามแนวพระราชดำริ และคุณลุงยังยึดแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักในการดำรงชีวิต
สวนคุณลุงอยู่ที่ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรีนี่เอง พอเราไปถึงคุณลุงก็ออกมารับแล้วพาไปที่ลานร่มรื่นด้านหน้าบ้าน
คุณลุงแนะนำตัวว่า เคยทำงานรับราชการอยู่เกือบสิบปี แล้วก็ลาออกมาเปิดบริษัทเจอพิษเศรษฐกิจก็เลยหันมาทำไร่ทำนา แล้วก็หันไปกินเหล้าจนกระทั่งเป็นพิษสุราเรื้อรัง คุณลุงยังเอารูปเก่าๆซึ่งใส่กรอบอย่างดีมาให้เด็กๆดู เป็นรูปสมัยที่ลุงยวงนอนเมาข้างถนนมีเจ้าตูบมารุมดมแล้วภรรยาคุณลุงได้ถ่ายรูปไว้ แล้วก็สอนเด็กๆว่าทำอย่างนี้ไม่ดี ครูสุถามเด็กๆต่อว่า "กินเหล้านั้นผิดศีลข้ออะไร" เด็กๆตอบกันพร้อมเพรียงว่า "ข้อห้าครับ"
สุดท้ายลุงยวงก็เลิกเหล้าโดยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล แล้วรักษาตัวอีกเป็นปี คุณลุงสอนเด็กๆว่า "จงทำมาหาเก็บ มิใช่ทำมาหากิน" คือไม่ใช่ว่าหามาแล้วใช้หมดไป แต่ให้เก็บไว้ด้วย คุณลุงได้ยินมาว่า ในหลวงท่านมีพระราชดำริ เรื่อง การทำเกษตรผสมผสานทฤษฏีใหม่ คุณลุงยวงสนใจเพราะถ้ามีคำว่าทฤษฏี แสดงว่าได้ผ่านการปฏิบัติมาแล้ว ทำให้คุณได้ลองปฏิบัติตามโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ
โดยคุณลุงได้แบ่งพื้นที่เป็น แหล่งน้ำ 30%, ไม้ยืนต้นและต้นไม้ที่เก็บกินได้ 30%, นาข้าว 30% และที่อยู่อาศัย 10% แล้วคุณลุงก็พาเราเดินดูสวนรอบเล็กๆ เราได้เห็นบ่อปลาบึก ปลาสวาย ปลาดุก ที่คุณลุงเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน ไม่ได้จับขาย พอคุณลุงโยนอาหารลงไป เจ้าปลาทั้งหลายก็ขึ้นมากินอาหารกันพรึ่บพรั่บน้ำกระเซ็น เด็กๆตื่นเต้นกันยกใหญ่ ก็เจ้าปลาตัวโต อ้าปากกันกว้างๆทั้งนั้น
ระหว่างทางคุณลุงเก็บเม็ดแมงเม่า หรือมะเม่าให้เด็กๆชิม รสเปรี้ยวๆ ชุ่มคอดีค่ะ
นี่เป็นบ่อปลาเลี้ยงไว้ขาย ซึ่งต้องขึงตาข่ายไว้กันนก ดูสิคะ..เด็กๆจดกันใหญ่เลย เด็กประถมหนึ่งที่ยังเขียนไม่คล่องก็คอยหันมาถามคุณครูถึงการสะกดคำต่างๆ เลยเป็นห้องเรียนภาษาไทยไปด้วยนะเนี่ย
จากนั้นก็มาถึงการกลั่นตะไคร้ไล่ยุง ที่เห็นคุณลุงถืออยู่คือ ขวดน้ำตะไคร้ไล่ยุงค่ะ สีขาวๆขุ่นๆแต่กลิ่นหอมตะไคร้มาก
เค้าจะต้มตะไคร้ในหม้อทรงกระบอกที่มีกระทะวางไว้ด้านบน พอไอน้ำตะไคร้ลอยขึ้นมากระทบกับความเย็นของก้นกระทะด้านบนซึ่งใส่น้ำอุณหภูมิห้องเอาไว้ ไอน้ำก็จะควบแน่นเป็นหยดน้ำ คุณลุงใช้ตะหลิว(บิดให้ด้านแบนกลับไปอีกด้าน) รองไอน้ำไว้ น้ำก็ไหลมาตามด้ามตะหลิวทะลุออกไปลงขวดด้านนอก (เจาะรูด้านข้างหม้อสำหรับให้ตะหลิวทะลุออกมาได้) เป็นนวัตกรรมที่แม่ต้องร้อง..ว้าว! อุปกรณ์ง่ายๆอย่างตะหลิวก็สามารถดัดแปลงมากลั่นตะไคร้ไล่ยุงได้
ต่อมาคุณลุงพาเด็กๆไปดู เตาเผาถ่าน คุณลุงใช้ถังน้ำมันมานอนตะแคงทำเป็นเตา ใส่กิ่งไม้ที่เป็นเศษจากการตัดแต่งกิ่งต้นไม้ในสวนเนี่ยล่ะ แล้วก็เผาจนกระทั่งมันมอดเอง คุณลุงเล่าว่าการเผาถ่านทั่วไปจะขุดหลุมเผาถ่านไปพร้อมกับแกลบพอเสร็จแล้วก็พรมน้ำ แต่วิธีของคุณลุงจะเป็นการเผาถ่านในอุณหภูมิที่สูงกว่าทำให้ได้ "ถ่านบริสุทธิ์" ซึ่งจะมีปริมาณน้ำมันดิน (Tar) ที่เป็นสารก่อมะเร็งลดลง
ระหว่างที่เผาถ่าน ควันที่ออกมาก็ถูกดักให้ลอยผ่านกระบอกไม้ไผ่เจาะรูไว้ด้านล่าง ของเหลวที่ควบแน่นออกมาจะหยดลงกระป๋องที่รองเอาไว้ ของเหลวนี้จะต้องตั้งทิ้งเอาไว้ 3 เดือน เพื่อให้ของเหลวนั้นแยกตัวออกมาเป็น 3 ชั้น ชั้นบนจะเป็นน้ำมัน ชั้นล่างจะเป็นสาร Tar ส่วนตรงกลางจะเป็นน้ำวิเศษที่เรียกว่า น้ำส้มควันไม้ มีประโยชน์ในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ช่วยเพิ่มผลผลิต ฟื้นฟูดินเสื่อม
จากนั้นคุณลุงก็พาเด็กๆเดินไปดูนาข้าวที่คุณลุงหว่านไว้เมื่อเดือนก่อน ตอนนี้ต้นข้าว อ่อนๆชูดยอดสีเขียวขจีเต็มทุ่ง
ระหว่างทางก็ยังได้เห็นพืชผักสวนครัวที่คุณลุงปลูกไว้ ทั้งพริก กระเพรา และโหระพา ใบงามๆทั้งนั้น และยังมีสมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจรด้วย แต่ที่ทำให้เด็กๆได้เพลิดเพลินที่สุดคือ เมล็ดต้อยติ่ง ก็ดอกสีม่วงบานเต็มสองข้างทาง คุณลุงบอกว่าตอนแรกจะถางต้นต้อยติ่งออกเพื่อให้เดินง่าย แต่เห็นว่าดอกสีสวยพรึ่บพรั่บอย่างนี้ เลยเก็บไว้อวดเด็กๆดีกว่า
เด็กๆพอเห็นเม็ดต้อยติ่งสีน้ำตาลเข้มชูช่อเต็มไปหมด อดใจไม่ไหว เก็บเม็ดต้อยติ่งกันใหญ่เลย จนไม่ยอมฟังคุณลุงยวงกันเลย จนครูเจนบอกว่า เก็บไปเยอะๆนะ เดี๋ยวจะได้ให้ทานกับข้าวเที่ยง โอ๊ะ..โอ..เด็กๆเลยชะงัก หยุดเก็บกันไปพักใหญ่ (อย่าว่าแต่เด็กๆเล้ย แม่อ้อยังต้องหักห้ามใจอย่างยากเย็นที่จะไม่เก็บเจ้าเม็ดต้อยติ่งสีน้ำตาลที่อยู่กันเป็นทุ่งขนาดนั้น อิ อิ)
ระหว่างทางคุณลุงชี้ให้ดูรังนกกระจาบที่ทำรังอยู่บนต้นไม้ รังที่เห็นเป็นสีเขียวอยู่ด้านซ้ายล่างนั้นเป็นรังที่เพิ่งสร้างโดยนกกระจาบตัวผู้ แต่ถ้าเป็นรังที่สร้างมานานแล้วก็จะเป็นสีน้ำตาล ยิ่งถ้าคุณนกกระจาบตัวผู้สามารถหาคู่ได้ก็จะกลับมาต่อเติมรังเดิมให้มีส่วนยื่นออกมาเผื่อต้องวางไข่ (รังสีน้ำตาลที่อยู่ด้านบนซ้าย) แล้วคุณลุงยังสอนเด็กๆให้ดูความเพียรพยายามของนกกระจาบเป็นตัวอย่างด้วย
แล้วคุณลุงก็พาไปดู คอนโดกบ โดยคุณลุงเอายางรถยนต์มาเรียงกันให้สูงเอาไว้เลี้ยงกบตัวใหญ่ๆ คุณลุงจับเจ้ากบขึ้นมาอวด น้องบุ๋นลองสัมผัสผิวของเจ้ากบแล้วบอกว่าลื่นๆ
ที่ข้างๆคอนโดกบ เรายังได้เห็นการเพาะเห็ดในโอ่งด้วย เห็ดดอกใหญ่มากค่ะ นึกว่าเป็นเห็ดยักษ์ซะอีก
แล้วคุณลุงก็พาเราเดินกลับมาที่ลานหน้าบ้านเพื่อสอนวิธีการดักทำกับดักแมลงวันทองให้เด็กๆดู โดยใช้ขวดน้ำพลาสติก เอามาตัดครึ่ง แล้วเสียบส่วนปากขวดเข้ากับส่วนก้นขวด(คว่ำก้นขวดลงลง) ให้เป็นรูปอย่างนี้
จากนั้นก็เอาใบกระเพราะมาขยี้ให้เกิดกลิ่น แล้วใส่ไว้ในขวดเพื่อล่อแมลง จากนั้นคุณลุงก็จะแขวนไว้กับต้นไม้ ไม่กี่นาทีเจ้าแมลงวันทองก็มาบินว่อนรอบขวดแล้วค่ะ คุณลุงบอกว่าคุณลุงจะทิ้งขวดไว้บนต้นไม้อย่างนั้นจนกระทั่งมดไต่มากินแมลงวันเป็นห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติไป
จากนั้นคุณลุงก็บอกว่าจะแสดงให้เห็นถึงเกษตรพอเพียงว่าอยู่ได้อย่างไร แล้วคุณลุงก็คว้าเอาถุงพลาสติกมาเท สิ่งที่กองอยู่บนพื้นก็คือใบไม้ ซึ่งคุณลุงเก็บจากต้นไม้ระหว่างทางที่เราเดินผ่านมา
แต่ไม่ใช่ใบไม้ธรรมดาค่ะ คุณลุงค่อยๆหยิบขึ้นมาทีละกิ่ง แล้วอธิบายถึงว่าเราเอามาทำอะไรกินได้ และมีประโยชน์อย่างไร ทั้งตำลึง ยอดชะอม หน่อไม้หวาน ใบหม่อน ตะลิงปลิง ผักหนาม ใบมันปู ลูกฟักข้าว และอีกมากมาย เอาเป็นว่าคุณลุงไม่ต้องไปตลาดเพื่อหาซื้อผัก แค่เดินเข้าไปในสวนไม่มีอดแล้ว
หลังจากได้ความรู้มากมายในช่วงเช้าแล้ว เราพักตั้งวงทานข้าวบนเสื่อ
ท่ามกลางแมกไม้
ใครอยากรู้ว่าเด็กๆเอาอะไรมากิน ก็ไปดูได้ที่อัลบั้มรูปนะคะ แม่อ้อขอลงรูป ข้าวกล่องยอดเยี่ยมของน้องมดตะนอยรูปเดียวค่ะ ดูซะก่อน..แม่แป้งของน้องมดตบแต่งข้าวเป็นรูปหน้าคนด้วย !
ลุงยวงยังใจดีเก็บมะม่วงสดๆจากสวนมาให้พวกเราทานกับ น้ำปลาหวานรสเด็ดของคุณลุงด้วยค่ะ
หลังจากอิ่มท้องก็มีกำลังเดินลุยสวนกันต่อ คราวนี้เดินกันรอบใหญ่ขึ้น ถึงแม้แดดจะแรงแต่ต้นไม้ใหญ่ก็ให้ความร่มรื่นแก่พวกเรา คุณลุงร้องถามว่า เดินกันไหวไหม? เด็กๆตะโกนแข่งกันว่า "ศรีทนได้.." ตามโฆษณาสียี่ห้อหนึ่ง แต่น้องมดตะนอยที่เดินรั้งท้ายกลับบอกว่า "ศรีทนไม้ได้้ค่ะ" ฮ่า..ฮ่า..
ระหว่างทาง คุณลุงยังเก็บมะม่วงสุกมาปอกกันสดๆให้เด็กๆได้ทาน หวานอร่อยเหลือเกินค่ะ
พอเดินมาถึงต้นกระท้อน ก็ได้กินกระท้อนเม็ดหวานฟูกันอีก
ซักพักคุณลุงก็ชวนเด็กๆมาปีนบ้านต้นไม้ธรรมชาติกัน ซึ่งจริงๆแล้วก็คือ ต้นไทรซึ่งแตกกิ่งก้านสาขาแน่นขนัด แต่ที่น่าตื่นเต้นเป็นเพราะมันยื่นเข้าไปในน้ำ ถ้าใครตกลงมาล่ะก็..โอว..ไม่อยากจะคิด แต่สุดท้ายเด็กๆก็ใช้สัญชาตญาณลิเกาะกิ่งไม้กันอย่างเหนียวแน่น ไม่มีใครหล่น ท่ามกลางเสียงของลุงยวงที่ตะโกนว่า "อย่าถีบเพื่อนนะครับ!!"
เดินต่อไปอีกหน่อย คุณลุงก็ดึงก้านมะพร้าวที่ตกลงมาแช่น้ำอยู่ริมตลิ่งขึ้นมาให้ดู อุแม่เจ้า..หอยขมค่ะ คิดถึงเมนูโปรดพ่อโก้..แกงคั่วหอยขมขึ้นมาทันที
ที่สวนลุงยวงไม่ว่าจะเดินไปทางไหน เราก็สามารถเก็บผักผลไม้มากินได้ตลอดทาง แม่ถามลุงยวงว่า เกษตรพอเพียงนั้น..พอจริงๆเหรอคะ คุณลุงบอกว่าก็ "พอ" ในระดับที่คุณลุงสามารถซื้อรถเก๋งฮอนด้าให้ภริยาขับได้ก็แล้วกัน แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือ สามารถพึ่งตนเองได้ อย่างตอนที่น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2538 นาข้าวและต้นไม้ตายหมด เหลือแต่ไม้ยืนต้นเท่านั้น แต่โชคดีที่ยังมีบ่อปลา ทำให้ลุงยวงขายปลาได้เงินมา 6 หมื่นเพื่อตั้งต้นปลูกทุกอย่างใหม่
ทั้งสวนนี้ คุณลุงลงแรงทำอยู่คนเดียวไม่ต้องไปจ้างใคร ถ่านก็เผาเอาเอง ยาฆ่าแมลงหรือปุ๋ยก็ไม่ต้องซื้อ ลุงยังบอกอีกว่า ถ้าเกิดสงครามขึ้นมาล่ะก็ ลุงน่ะอยู่ได้สบายๆไม่มีอดตาย แต่คนกรุงเทพฯอย่างพวกเราเนี่ย..ไม่รอดหรอก โอว..เห็นภาพเลยค่ะคุณลุง
ตอนนี้คุณลุงยวงยังทำกิจกรรมเพื่อชุมชนโดยการเป็นครูพิเศษด้าน เกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ ครูภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นวิทยากรอบรมด้านการเกษตร การเลี้ยงปลา การทำบัญชีรายรับ-จ่าย และเป็นหมอดินอาสาในการปรับปรุงดิน
วันนี้เด็กๆได้สนุก อิ่ม ตื่นเต้น และความรู้มากมายที่สวนลุงยวง นอกจากนั้นการได้สัมผัสวิถีการดำเนินชีวิตของลุงยวงที่ขยัน อดทน พอเพียง และทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นนั้น..ช่างเป็นบทเรียนที่ประเมิณค่ามิได้ของเด็กๆ กราบขอบพระคุณคุณลุงยวง เขียวนิล ค่ะ
หลังจากนั้นเราก็กลับมากันที่โรงเรียนเพื่อบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้กันในวันนี้ เนื่องจากกว่าเราจะกลับถึงโรงเรียนก็ใกล้บ่ายสามโมงแล้ว แม่เลือกที่จะรอรับธีธัชกับธีญากลับบ้านเลย ทำให้ได้มีโอกาสเห็นเด็กปฐมธรรมทำงานบันทึก
โดยเริ่มจากกระดาษเปล่าคนละแผ่น แล้วสรุปจากความจำและสิ่งที่จดมาในสมุดบันทึก โดยเด็กประถมหนึ่งจะจดมาแต่สิ่งที่ตัวเองสนซะส่วนใหญ่ สมุดบันทึกของธีธัชก็จะเป็น
สมุดบันทึกของพี่แพมนั้นนอกจากจะจดเป็นตัวอักษรแล้ว ฝีมือวาดรูปอุปกรณ์กลั่นตะไคร้..เห็นปุ๊บก็เข้าใจปั๊บ
อันนี้เป็นบันทึกของธีธัช ป. 1
ของน้องทอม ป. 1 เหมือนกันค่ะ
สุดยอดของการบันทึก..พี่แพม ป.3 ค่ะ ด้านซ้ายจดรายชื่อ พืชผักผลไม้ได้ครบถ้วนและยังมีการวาดรูปประกอบด้านข้างอีก ทั้งที่ตอนนั้นลุงยวงหยิบใบไม้มาอธิบายอย่างเร็วเลย เป็นการบอกถึงความตั้งใจฟังและใส่ใจในรายละเอียดของพี่แพม
ส่วนด้านขวาที่วาดรูปอุปกรณ์การสกัดตะไคร้ เตาเผาถ่าน และขั้นตอนการทำกับดักแมลงวันทอง เชื่อมั้ยคะว่าแต่ละอย่างที่น้องแพมวาดนั้น ลุงยวงใช้เวลาประมาณ 15 นาทีในการอธิบายโดยมีคำถามสอดแทรกตลอด แต่น้องแพมสามารถเข้าใจ สรุปขั้นตอน และวาดภาพออกมาได้ขนาดนี้..สุดยอดจริงๆค่ะ
ขอตบท้ายด้วนรูปพี่แพมคนเก่ง กับสมุดบันทึกของพี่แพมค่ะ
ข้อมูลลุงยวง : http://www.moac.go.th/builder/moac/article/articleupdate.php?id=232
น้ำส้มควันไม้ : http://www.charcoal.snmcenter.com/charcoalthai/charcoal_fun4.php
ถ่านบริสุทธิ์ : http://www.charcoal.snmcenter.com/charcoalthai/eivada.php